คดีไรเด้อหน้ายักษ์ทำร้ายร่างกายบุคคลอื่นบนทางเท้าเป็นที่สนใจของประชาชนช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565 เพราะนอกจากการกระทำที่ป่าเถื่อน รุนแรง ที่ปรากฎตามสื่อข่าวสิ่งที่น่าสนใจคือรอยสักบนใบหน้า
เหตุที่ผมมีความสนใจเป็นพิเศษ เพราะโดยพื้นฐานทั่วไปเรามักไม่พบใครสักบนใบหน้า (นอกจากสักคิ้ว) คนที่มีรอยสักบนร่างกายส่วนใหญ่มักจะพบที่ แผ่นหลัง แขน ขา ซะส่วนมาก
บทความนี้จึงอยากเจาะลึกถึงงานสำรวจและวิจัยที่เกี่ยวข้องกับรอยสักกับบุคลิกภาพ เช่น
- คนที่มีรอยสัก กับไม่มีรอยสัก มีบุคลิกภาพที่แตกต่างกันไหม ?
- คนที่มีรอยสักบนใบหน้ามีบุคลิกที่อันตรายแก่บุคคลอื่น หรือไม่ ?
บุคลิกภาพ กับ รอยสักบนร่างกาย
รอยสักเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล ทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจสักได้ตามกฎหมาย ในสังคมไทยการสักเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆด้วยหลายเหตุผล เช่น รอยสักตามความเชื่อเรื่องโชคลาภและโหราศาสตร์ การสักเพื่อความสวยงามในเชิงศิลปะ หรือเพื่อการแสดงความเป็นสมาชิก หรือ พรรคพวกเดียวกัน เป็นต้น Dr. Viren Swami เป็นหนึ่งคนที่ทำงานวิจัยด้านนี้ และจากงานวิจัยก็มีข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้
- โดยทั่วไป คนที่มีรอยสักมักจะมีแนวโน้มเป็นคนประเภท Extrovertion , ต้องการแสดงตัวตนว่าตนเองแตกต่างจากคนอื่น (Need for Uniqueness) และ เป็นคนมีนิสัยท้าทาย ชอบเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ๆ (Experience Seeking) **ทั้งนี้ในรายงานวิจัยชิ้นอื่นจะมีข้อมูลว่าการมีหรือไม่มีรอยสักไม่ได้มีความแตกต่างในแง่บุคลิกภาพ
- ในคนที่มีรอยสักเยอะ เช่น แบบเต็มแขน เต็มตัว ล้นถึงคอ และเต็มขา มักจะถูกมองว่าเป็นคนที่ดูมีปัญหา และหลายคนมักจะมองโดยรวมในแง่ลบ เช่น ในการรับสมัครงานก็มักจะไม่ผ่านสัมภาษณ์ ในอาชีพบริการหลายแขนงจะไม่รับคนมีรอยสักเลย และในมุมมองของตำรวจเมื่อจะสุ่มตรวจก็จะเลือกคนกลุ่มนี้เป็นหลักมากกว่าเลือกคนที่ไม่มีรอยสัก เป็นต้น
- ในกรณีเพศหญิงจะได้รับความสนใจทางเพศน้อย และจะถูกมองว่าทำงานกลางคืน เป็นนักดื่ม นักท่องราตรี หรือ ขายประเวณี
ส่วนตัวผมมีมุมมองถึงการสักว่าเป็นการสร้างตัวตนอีกหนทางหนึ่งที่ลึก(Deeply Need for Uniqueness)และชัดเจนกว่าการเลือกเสื้อผ้าที่ใส่ ยี่ห้อรองเท้า หรือ การเลือกวัตถุเครื่องแต่งกาย และที่น่าสนใจสำหรับผมคือ ตำแหน่งที่สัก
ถ้าตำแหน่งที่สักอยู่ใต้ร่มผ้า เช่น ต้นแขน หรือ แผ่นหลังที่มีขนาดเล็ก เราจะสามารถเลือกได้ที่จะเปิดเผย หรือ ปิดบังมันได้ตามแต่ที่เราต้องการ หรือ ตามแต่โอกาส หรือ กาละเทศะ ด้วยการใส่เสื้อผ้าที่มิดชิดเพื่อปกปิดรอยสัก
ในกรณีนี้จึงอาจบอกได้ว่าความต้องการสร้างตัวตนอาจไม่สูงเท่าคนที่ตัดสินใจสักในบริเวณที่ปิดไม่ได้ เช่น ต้นคอ และใบหน้า ผมจึงมีมุมมองว่า คนที่สักบนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นบริเวณหน้าผาก จมูก แก้ม หรือคาง ย่อมต้องการเปิดเผยตัวตนอย่างแข็งกร้าวมั่นคง และอย่างท้าทาย เพราะเขาไม่มีโอกาสปิดรอยสักด้วยเสื้อแขนยาว
เคสที่ปรากฎตาม VDO จึงสามารถอธิบายด้วยงานวิจัยและมุมมองด้านความต้องการแสดงออกถึงตัวตนของมนุษย์ไม่มากก็น้อย บุคคลใน VDO ก็ดูค่อนข้างใจร้อนและมีความเป็นนักเลงเอาการ ถึงขั้นตัดสินใจชกต่อยกับบุคคลอื่นแม้ไม่ได้มีปัญหาบาดหมางอะไรใหญ่โต ทำให้จินตนาการไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าในกรณีที่เขาโกรธ หรือ พกอารมณ์ลบด้วยจะไปขนาดไหน จะถึงขั้นจะฆ่าจะแกงหรือเปล่า ? ก็เป็นสิ่งที่น่ากังวล
รอยสักอาจจะไม่ได้เป็นสิ่งที่แยกแยะระหว่างคนดีหรือคนเลว และไม่ได้บ่งบอกนิสัยใจคอได้ชัดเจน งานสำรวจและวิจัยก็ไม่ได้ฟันธงได้ชัดว่าคนที่มีและไม่มีรอยสักมีบุคลิกเป็นแบบใดที่แตกต่างกัน แต่มุมมองสังคมที่มีต่อคนมีรอยสักที่เยอะและใหญ่โดยเฉพาะในตำแหน่งที่เปิดเผยมักจะเป็นแง่ลบ
ส่วนในกรณีบุคคลที่สักบนใบหน้าอาจพบลักษณะอะไรบางอย่างพิเศษกว่าบุคคลประเภทอื่นได้ อย่างน้อยก็ที่ปรากฎในกรณีนี้ และถ้ามีข้อมูลมากกว่านี้ หรือ มีงานวิจัยด้านนี้โดยตรงเราอาจจะเห็นสถิติและข้อสรุปบางอย่างเพิ่มในอนาคต
ปล.ใน VDO นี้ผู้ชายใน VDO มีภาษากายที่น่าสนใจหลายอย่าง ผมอยากให้คุณลองดูว่า ณ เวลาตอนที่เขากำลังแก้ตัวเขามีภาษากายใดบ้าง และตอนหลังที่เขาถูกต่อว่า ว่า”ไม่ใช่ลูกผู้ชาย” เขามีภาษากายอะไรออกมา
ขอให้สนุกกับการเรียนรู้ครับ
ทพ.อภิชาติ ลีนานุรักษ์ (หมอมด)
บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น บุคคลอ้างอิงในเวปไซด์จะคัดเลือกมาจากหลายวงการ เช่น นักการเมือง นักแสดง นักร้อง นักกีฬา นักธุรกิจ และบุคคลสาธารณะที่ปรากฎในสื่อสาธารณะ เช่น ข่าว รายการโทรทัศน์ งานแถลงข่าว สัมภาษณ์ รายการในยูทูป (youtube) เป็นต้น การตีความและอธิบายภาษากายไม่มีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนในเชิงการเมือง หรือ มีจุดประสงค์ที่จะละเมิดกับบุคคลใด กลุ่มการเมือง หรือ ศาสนาใด ทั้งสิ้น
